เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา “ฟลอเรนติโน่ เปเรซ” ประธานสโมสร “เรอัล มาดริด” ได้เรียกบอร์ดบริหารของทีมเข้าประชุมด่วนในช่วงเย็นโดยประเด็นหลักคือเรื่องของ “ราฟาเอล เบนิเตซ” กุนซือของทีม
ที่ทางซินญอร์เปเรซ ได้ตัดสินใจแล้วว่าหมดเวลาในถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาบิว เรียบร้อยแล้ว พร้อมเปิดตัวกุนซือคนใหม่คือ “ซีเนอดิน ซีดาน” อดีตนักเตะระดับตำนานของทีม
แน่นอนว่า “เอล ราฟา” อาจจะไม่ใช่กุนซือที่แฟนบอลรักมากแต่ก็ไม่ใช่คนที่เหล่ามาดริดนิสต้าเกลียด ด้วยความเป็นลูกหม้อของทีมตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะหรือสมัยทำงานเป็นโค้ชทีมชุดบีของทีม
ในแง่ของผลงานตอนนี้จะอยู่อันดับ 3 แต่ก็ตามจ่าฝูงอย่าง “แอตฯมาดริด” เพียงแค่ 4 คะแนนหรือรองจ่าฝูง “บาร์เซโลน่า” 2 คะแนน โดยบาร์ซ่าแข่งน้อยกว่า 1 นัด
แน่นอนว่า “เอล ราฟา” อาจจะไม่ใช่กุนซือที่แฟนบอลรักมากแต่ก็ไม่ใช่คนที่เหล่ามาดริดนิสต้าเกลียด ด้วยความเป็นลูกหม้อของทีมตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะหรือสมัยทำงานเป็นโค้ชทีมชุดบีของทีม
ในแง่ของผลงานตอนนี้จะอยู่อันดับ 3 แต่ก็ตามจ่าฝูงอย่าง “แอตฯมาดริด” เพียงแค่ 4 คะแนนหรือรองจ่าฝูง “บาร์เซโลน่า” 2 คะแนน โดยบาร์ซ่าแข่งน้อยกว่า 1 นัด
แต่ถ้าดูถึงฟอร์มการเล่นหรือผลงานในสนามก็ยังดูว่าไม่ใช่ข้ออ้างที่จะ “เปลี่ยนแปลงโค้ช” เพราะขนาด “หลุยส์ ฟาน ฮัลล์” พาทีมนึงในอังกฤษไม่ชนะใครมา 7 นัดติด แพ้ 3 นัดรวดบวกกับตกรอบฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ยังนั่งหน้าสลอนอยู่ในตำแหน่งเลย
หรือสถิติตั้งแต่คุมทีมของราฟาแองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรถึงแม้ภาพการเล่นของลูกทีมอาจจะดูน่าเบื่อไปบ้างแต่มันก็เป็นสไตล์ของโค้ช ซึ่งเจ้าตัวคุมทีม 25 นัด ชนะ 17 เสมอ 5 แพ้ 3
หรือสถิติตั้งแต่คุมทีมของราฟาแองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรถึงแม้ภาพการเล่นของลูกทีมอาจจะดูน่าเบื่อไปบ้างแต่มันก็เป็นสไตล์ของโค้ช ซึ่งเจ้าตัวคุมทีม 25 นัด ชนะ 17 เสมอ 5 แพ้ 3
อย่างไรก็ตามข้ออ้างที่บอกว่าทีมเล่นไม่สมศักดิ์ศรีของชื่อ “เรอัล มาดริด” อาจจะพอฟังขึ้นอยู่บ้าง แต่ธรรมชาติของ “เอล บอส” ผู้นี้ไม่ใช่กุนซือที่จะให้ลูกทีมเล่นเป็นระบบ สวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจ เหมือน “เป็ป กวาดิโอร่า” หรือ “อาร์แซน เวงเกอร์”
แต่เป็นโค้ชที่เก่งเรื่องแท็คติคและการเล่นเกมรับมากกว่า ดังนั้นจุดนี้ตัว “เปเรซ” เองก็น่าจะรู้มาตั้งแต่ก่อนจะแต่งตั้งราฟาเข้ามาทำงาน
อีกทั้งหลังจากการปลดราฟาก็ได้กุนซือใหม่อย่าง “ซิซู” ในทันทีทันใด คนทั่วไปก็ดูออกว่ามีการวางแผนหรือตัดสินใจไว้ก่อนเรียบร้อยแล้ว อยู่แค่ว่าจะประกาศออกมาเมื่อไหร่ และเหตุผลที่ปลดราฟาหลักมีเพียงอย่างเดียวคือ “อยากเปลี่ยน”
เรื่องนี้ทำให้รู้ว่าหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในมือของคนๆเดียวแบบเบ็ดเสร็จเลยคือ “ซินญอร์เปเรซ” เท่านั้น อยู่ที่ว่าประธานสโมสรจอมเผด็จการผู้นี้จะเอ็นดูใคร จะว่าไปก็ไม่ต่างจากชีวิตจริงของเราๆท่านๆสักเท่าไหร่เลย
เห็นอย่างงี้แล้วรู้สึกสงสารราฟาขึ้นมาจับใจเลย เพราะขนาด “หลุยส์ เอนริเก้” ของบาร์เซโลน่าที่ฝีมือการทำทีมน่าจะเป็นรองด้วยซ้ำ ยังไม่ถูกสโมสรที่ตัวเองรักหักหลังแบบนี้เลย
นอกจากนั้นการเข้ามาของอดีตจอมทัพเบอร์ 10 ประจำทีม ไม่มีอะไรการันตีว่าจะประสบความสำเร็จ
เรื่องนี้ทำให้รู้ว่าหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในมือของคนๆเดียวแบบเบ็ดเสร็จเลยคือ “ซินญอร์เปเรซ” เท่านั้น อยู่ที่ว่าประธานสโมสรจอมเผด็จการผู้นี้จะเอ็นดูใคร จะว่าไปก็ไม่ต่างจากชีวิตจริงของเราๆท่านๆสักเท่าไหร่เลย
เห็นอย่างงี้แล้วรู้สึกสงสารราฟาขึ้นมาจับใจเลย เพราะขนาด “หลุยส์ เอนริเก้” ของบาร์เซโลน่าที่ฝีมือการทำทีมน่าจะเป็นรองด้วยซ้ำ ยังไม่ถูกสโมสรที่ตัวเองรักหักหลังแบบนี้เลย
นอกจากนั้นการเข้ามาของอดีตจอมทัพเบอร์ 10 ประจำทีม ไม่มีอะไรการันตีว่าจะประสบความสำเร็จ
เพราะประสบการณ์การคุมทีมมีเพียงหยิบมือถ้าเทียบกับ “เอล ราฟา” บางทีอาจจะได้ความเคารพในฐานะตำนานหรือผู้ใหญ่ในสโมสร หรืออะไรก็ตาม แต่ต้องอย่าลืมว่าผลงานของทีมฟุตบอลไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักเตะภายในทีมเพียงอย่างเดียว
บางครั้งก็อยู่ที่ความสามารถของโค้ชด้วยว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน มีแค่ “บารมี” แต่ไม่มี “ฝีมือ” ยังไงทีมก็ล้มเหลววันยังค่ำ
ถึงตอนนี้คนที่หัวใจเจ็บปวดรวดร้าวมากที่สุดก็คือ “ราฟาเอล เบนิเตซ” ที่ไม่ได้ถูกปลดจากความล้มเหลว แต่ต้องเดินออกจากเบอร์นาบิวเพราะถูกสโมสรที่ตัวเองรัก “หักหลัง” ครับ
ปล. ชะตากรรมเดียวกับ “โจเซ่ มูรินโญ่” ที่ถูกสโมสรที่ตัวเองรัก "ทรยศ"
บางครั้งก็อยู่ที่ความสามารถของโค้ชด้วยว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน มีแค่ “บารมี” แต่ไม่มี “ฝีมือ” ยังไงทีมก็ล้มเหลววันยังค่ำ
ถึงตอนนี้คนที่หัวใจเจ็บปวดรวดร้าวมากที่สุดก็คือ “ราฟาเอล เบนิเตซ” ที่ไม่ได้ถูกปลดจากความล้มเหลว แต่ต้องเดินออกจากเบอร์นาบิวเพราะถูกสโมสรที่ตัวเองรัก “หักหลัง” ครับ
ปล. ชะตากรรมเดียวกับ “โจเซ่ มูรินโญ่” ที่ถูกสโมสรที่ตัวเองรัก "ทรยศ"
โดย แบงค์ พิพัช
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น